วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โปรแกรมฝึกภาษาจีน

Softwareอัจฉริยะ สอนภาษา จีน TELL ME MORE

ในSoftwareอัจฉริยะ สอนภาษา จีนTELL ME MOREรวม1500 แบบฝึกหัด มากกว่า 300 ชม. ในการเรียนการสอนมีภาพ animation เคลื่อนไหวสวยงาม เพลิดเพลินซึ่งประกอบ
- หลักการเขียน ตัวจีน วิธีการเขียนตัวจีน กว่า 800 ตัวการเขียนตัวจีนตัวเต็ม ตัวย่อ และพินอิน รูปแบบการเขียนประโยคการใช้ไวยกรณ์ การเขียน
-. หลักการพูด มีบทจำลองสถานะการณ์บทสนทนาที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือสถานการณ์ที่พบได้บ่อย

Softwareอัจฉริยะ สอนภาษา อิตาเลี่ยน TELL ME MOREเป็นซอฟแวร์แรกที่มีเทคโนโลยีการออกเสียงให้ผู้ใช้สามารถออกเสียงวรรณยุกต์ 4 ระดับโทนเสียงในภาษาจีนได้ถูกต้องสมบูรณ์แบบผู้ใช้สามารถเลือกระดับทักษะความรู้ในภาษาจีนได้ 3 ระดับ
1. Beginner,
2.Intermediate
3. Advanced

ที่มา:http://softwarecenter.tarad.com/product.detail_259396_th_1144674#

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พจนานุกรมแปลภาษา

ModernDict (โปรแกรม พจนานุกรม จีน <-> ไทย) : โปรแกรมพจนานุกรม ภาษา จีน - ไทย และก็ ไทย - จีน เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาด้านภาษาจีน โดยเฉพาะ ทีนี้เราลองมาดูรายละเอียด ของเจ้าตัวโปรแกรมนี้กันด้านล่างเลยดีกว่านะ

Program Features (คุณสมบัติของโปรแกรม) :1. บรรจุทั้งคำศัพท์ วลี และสุภาษิต มากกว่า 65,000 คำ
2. แปลจากจีนเป็นไทย และไทยเป็นจีนในโปรแกรมเดียว
3. อ่านออกเสียงคำศัพท์ วลี และสุภาษิตที่ค้นหาได้ (ภาษาจีน)
4. มีพินยินประกอบคำศัพท์ วลี และสุภาษิตทุกคำ
5. ใช้ง่าย ค้นหารวดเร็ว แสดงคำข้างเคียงทันทีที่พิมพ์คำในช่องค้นหา
6. เปลี่ยนสีพื้นหลังโปรแกรมได้ 6 สี
7. ใช้พื้นที่น้อยในการติดตั้ง และใช้แรมน้อยในเวลาที่เปิดใช้โปรแกรม
8. ใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP


Version 1.8 : เวอร์ชั่นนี้ได้เพิ่มการอ่านออกเสียงข้อความภาษาจีนและภาษาอังกฤษเข้าไปในโปรแกรม
1. คุณสามารถที่จะพิมพ์ข้อความภาษาจีนหรืออังกฤษลงในช่องอ่านข้อความ แล้วกดปุ่ม Play เพื่อให้โปรแกรมอ่านข้อความให้คุณฟังได้
2. คุณสามารถกดปุ่ม Pause/Resume เพื่อให้โปรแกรม พักการอ่านหรือให้อ่านต่อได้
3. คุณสามารถกดปุ่ม Stop เพื่อให้โปรแกรมหยุดการอ่านได้
4. คุณสามารถปรับอัตราความเร็วในการอ่านข้อความได้ โดยเลื่อนปุ่ม Rateไปทางซ้ายเพื่อให้อ่านช้าลง และเลื่อนไปทางขวาเพื่อให้อ่านเร็วขึ้น
5. คุณสามารถปรับความดังของเสียงได้โดยเลื่อนปุ่ม Volume ไปทางซ้ายเพื่อให้อ่านเบาลง และเลื่อนไปทางขวาเพื่อให้อ่านดังขึ้น
6. คุณสามารถที่จะบันทึกข้อความให้เป็นไฟล์เสียงได้ โดยกดปุ่ม Save to .WAV โดยโปรแกรมจะบันทึกไฟล์เสียงสกุล .WAV ให้ ถ้าคุณต้องการเก็บเป็นสกุล MP3 คุณจะต้องใช้โปรแกรมแปลงไฟล์เสียงไปแปลงจาก .WAV เป็น .MP3เองครับ
7. คุณสามารถเลือกเสียงพูดได้ โดยเลือกที่ Voice เช่น เลือกเป็นภาษาจีน หรือภาษาอังกฤษ (เสียงชายหรือเสียงหญิง) ถ้าคุณอยากได้เสียงพูดเพิ่ม คุณก็สามารถหาทางอินเตอร์เน็ทได้ โดยค้นหา Package ภาษาและเสียงพูดที่ต้องการ แล้วติดตั้งเพิ่มได้

ที่มา:http://www.thaiware.com/main/info.php?id=10015

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552

โปรแกรมพูดภาษาอังกฤษ


คุณสมบัติของโปรแกรม
โปรแกรม Nanosoft Agent เป็นโปรแกรมที่สามารถพูดคำภาษาอังกฤษได้ โดยจะมีรูปการ์ตูนต่างๆ ออกท่าทางในขณะการพูด สามารถปรับความเร็วในการอ่านได้ เหมาะสำหรับใช้ในการเรียนภาษาอังกฤษ,ฟังสำเนียงภาษาอังกฤษ,ช่วยในการเรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษ หรือ ใช้สำหรับงาน Presentation ในภาษาอังกฤษได้
> สามารถอ่านคำภาษาอังกฤษได้
> รองรับการ Copy และ Paste
> โปรแกรมนี้ สามารถที่จะกำหนดความไวในการอ่านและปรับค่าต่างๆได้
> สามารถแสดงท่าทางต่างๆ ในขณะที่กำลังอ่านได้
> ทำงานเป็นโปรแกรมฝังตัวได้
> บอกเวลาปัจจุบันเป็นภาษาอังกฤษได้ 9 ระดับตั้งแต่บอกเวลาทุก 1 นาที, 15 นาที , 30 นาที , 1 ชั่วโมง จนถึง 12 ชั่วโมง
> ตั้งเวลาให้อ่านข้อความที่พิมพ์ไว้ได้
> เปลี่ยนตัวการ์ตูนในแบบต่างๆได้ 6 แบบ
> สามารถซ่อนโปรแกรมไว้ใน Taskbar ได้
> เปลี่ยนท่าทางของตัวการ์ตูนได้มากกว่า 40 แบบ
> สั่งให้โปรแกรมหยุดพูดได้กรณีที่พูดประโยคยาวๆ
> มีคู่มือการใช้โปรแกรม (Help program)
> มี Video สาธิตการใช้งานโปรแกรม

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552

โปรแกรมฝึกภาษา







TeLL me More® คืออะไร



TeLL me More® เป็นโปรแกรมที่ได้รางวัลชนะเลิศ เป็นมาตรฐานสากลสำหรับการเรียนภาษาของผู้เรียนมากกว่า ๕ ล้านคนทั่วโลก TeLL me More® ให้ความสำคัญกับทุกทักษะที่มีความจำเป็นในการเรียนรู้ภาษาทั้ง การฟัง พูด อ่าน เขียน คำศัพท์ หลักไวยากรณ์ และ บริบททางวัฒนธรรม ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เป็นผู้เริ่มต้นเรียนภาษาใหม่หรือผู้ที่ใช้ภาษาได้คล่องแคล่วแล้ว TeLL me More® จะช่วยให้คุณก้าวไปสู่ความสำเร็จในอีกระดับหนึ่งเสมอคุณสมบัติพิเศษ TeLL me More® ให้การสนับสนุนแต่ละขั้นตอนในการเรียน กล่าวคือ:: ช่วยกำหนดระดับการเรียน* รวมถึงการกำหนดเป้าประสงค์ในการเรียน:: จัดโปรแกรมการเรียนภาษาส่วนตัว:: ติดตามความก้าวหน้าทางการเรียน ด้วยเครื่องมือประยุกต์สำหรับติดตามการเรียน:: สอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน* แล้วเปรียบเทียบระดับคะแนนกับการทดสอบมาตรฐานทางภาษา คุณลักษณะเฉพาะทั่วไป การเรียนกับ TeLL me More® คุณจะได้รับประโยชน์จากความสมบูรณ์แบบของเนื้อหาที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ ผสานกับความสามารถในการโต้ตอบของซอฟต์แวร์มัลติมีเดีย:: มีภาษาให้เลือก ๘ ภาษา ประกอบด้วย ภาษาสเปน(แบบละตินอเมริกา) ภาษาสเปน (แบบเสปน) ภาษาอังกฤษ (สำเนียงอเมริกัน) ภาษาอังกฤษ (สำเนียงอังกฤษ) ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาเลียน และภาษาดัช:: หัวข้อเรื่องหลากหลาย ทั้งภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และภาษาที่ใช้ในวงการธุรกิจ **:: เนื้อหาคุณภาพสูงสุดสำหรับการเรียนภาษา • มีชั่วโมงเรียนมากถึง ๒,๐๐๐ ชั่วโมงในแต่ละภาษา***• ประกอบด้วย ๑๐,๐๐๐ แบบฝึกหัด• คำอธิบายหลักไวยากรณ์ จำแนกตามระดับและหมวดหมู่• อภิธานศัพท์แบบมีเสียง บรรจุคำศัพท์ที่จำแนกตามระดับและหมวดหมู่เอาไว้มากถึง ๑๐,๐๐๐ คำ• มีกิจกรรมการเรียน ๓๕ ประเภทแตกต่างกันออกไป :: นวัตกรรมล่าสุดของเทคโนโลยีจดจำเสียงพูด (อย่างแรกคือบทสนทนาที่คุณพูดจาโต้ตอบได้ กับ S.E.T.S.® Technology ซึ่งเป็นระบบตรวจจับคำผิดอัตโนมัติ สามารถฟันธงลงไปได้ด้วยว่าผิดตรงไหนTell me More Online E-learning เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่จะทำให้ท่านได้รับการฝึกภาษาอังกฤษ ทั้ง 4 Skill
+++Speaking
+++Listening
+++Reading
+++Written Plus Vocaburary & Gramma

ด้วยรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ที่แตกต่างกันกว่า 35 รูปแบบ เช่น Dialogue ,Crossword Puzzles, Word Searches, Fill-in-the-Blanks, Text Transformation, Grammar Practice, Sentence Pronunciation, Phonetics Exercise, Dictation, Written Expression ฯ ที่จะทำให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษของคุณ ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป ในแต่ละภาษา คุณยังเลือกเรียนได้ 2 รูปแบบ คือ 1.Everyday English ภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน 2.Business English ภาษาอังกฤษใช้ในเชิงธุรกิจ ในแต่ละรูปแบบจะประกอบด้วย 3ระดับ (Level)
1. Beginner
2. Intermediate
3. Advanced 3

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษ


วิธีที่จะทำให้เก่งภาษาอังกฤษHow to Excel in English(Master Jonathan's tactics)
A lot of Thai students especially English admirers, would like to know "how to be good at English". According to Joseph Bellafiore, a veteran American linguist, the best way to excel of English is to try to enrich your word power. "The more vocabularies you gain, the better English learner you are," says Bellafiore.
เด็กนักเรียนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชอบภาษาอังกฤษล้วนอยากจะทราบ "วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง" กันทั้งนั้น โจเซฟ เบลลาฟิโอเร นักภาษาศาสตร์อเมริกันผู้เชียวชาญ กล่าวไว้ว่า วิธีการเรียนภาษาอังกฤษให้เก่งก็คือ จงพยายามเสริมสร้างความรู้ในเรื่องศัพท์ "ยิ่งรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นผู้เรียนภาษาอังกฤษยิ่งขึ้นเท่านั้น" เบลลาฟิโอเรกล่าว

Wide reading of books, newspapers and magazines gives you a great leap forward to increase your command of words. Since you're interested in getting better marks in English exams, landing a good job in the near future and becoming a person who can speak English fluently, you must start now!To start with, there are six ways to a better vocabulary : การอ่านมาก ทั้งหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารจะทำให้เราก้าวไกลมากในการเพิ่มพูนเสริมสร้างการใช้ศัพท์ ในเมื่อเราสนใจอยากได้คะแนนสอบภาษาอังกฤษสูงๆ อยากได้งานดีๆ ในอนาคตอันใกล้ และอยากเป็นคนที่สามารถพูดอังกฤษคล่อง เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นทีเดียว ก็มีอยู่ 6 วิธีด้วยกันในอันที่จะทำให้เก่งศัพท์ยิ่งขึ้น



1. Experience : ประสบการณ์ You have to widen your range of experience by firsthand contact with English-speaking people. In a nutshell, you have to try to converse with English speakers-on whatevertopics-whenever you have a chance. Life is the greatest teacher of words and everything else. เราควรเสริมสร้างเราควรจะเสริมสร้างประสบการณ์ที่มีอยู่ด้วยการติดต่อสื่อสารโดยตรงกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ คือ พูดง่ายๆ เราควรจะพยายามสนทนากับคนที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีโอกาสชีวิตคือครูคำศัพท์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


2. Reading : การอ่าน You must develop your habit of reading English books, newspaper and magazines based on interests, hobby, vocation , etc. Reading is one of the chef tools in broadening your background. เราต้องพัฒนานิสัยในการอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่เป็นภาษาอังกฤษบนพื้นฐานของความสนใจ งานอดิเรก อาชีพ เป็นต้น การอ่านถือว่าเป็นหนึ่งในอุปกรณ์หลักๆ ที่จะเสริมสร้างภูมิหลังให้แก่เรา


3. Dictionary : พจนานุกรม You should get better acquainted with the contents and arrangements of words in the dictionary. The dictionary is a "must" for every English learner. เราควรจะทำความคุ้นเคยกับเนื้อหาสาระและการเรียงร้อย คำในพจนานุกรมให้ดียิ่งขึ้น พจนานุกรมนั้น "จำเป็น" สำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษ


4. Notebook : สมุดบันทึก After collecting words, you are to keep a neat record of new words in yournotebook. If possible, you should copy the phrase of sentence to illustrate its actual use. And don't forget to check the meaning of every word or sentence you copy. หลังจากรวบรวมคำศัพท์ เราต้องจดบันทึกคำศัพท์ใหม่ๆ ไว้อย่างเป็นระเบียบในสมุดบันทึกของเราหากเป็นไปได้ให้คัดลอกวลีหรือประโยคที่แสดงถึงวิธีใช้และอย่าลืมตรวจดูความหมายของทุกคำ

5. Word-families or roots : ตระกูลศัพท์หรือรากศัพท์ You should have to study t groups of words that are related in structure and meaning because of prefixes , roots and suffixes. Latin and Greek parents have given us thousand of words in English. เราต้องศึกษาหมวดหมู่ของคำศัพท์ต่างๆ ที่สัมพันธ์กันในโครงสร้างและความหมายอันเนื่องจากคำเติมหน้า (อุปสรรค) รากศัพท์ และคำต่อท้าย (อาคม) ตระกูลศัพท์ที่มาจากภาษาลาตินและกรีกนั้นได้ให้ศัพท์ในภาษาอังกฤษแก่เรานับพันๆ คำ


6. Word-games : เกมคำศัพท์ Just for fun , if you can become a crossword puzzle fan and solve other games that appear in newspapers, magazines, quiz books , etc. All in all, you have to read , write and speak English as much as you can, in an attempt to excel in English. เพื่อความสนุก หากเราสามารถจะเป็นแฟนเกมปริศนาอักษรไขว้ และไขเกมคำศัพท์อื่นๆ ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเกมปริศนา เป็นต้น ทั้งนี้และทั้งนั้น เราจะต้องอ่าน เขียนและพูดภาษาอังกฤษให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ ในความพยายามที่จะทำให้เก่งอังกฤษ


วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

ความได้เปรียบของคนไทยในการเรียนภาษาจีน


วันนี้อยากจะเสนอแล้วคิดใหม่ให้ท่านหันมาเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการเรียนภาษาจีนถามว่าเรียนภาษาจีนยากไหม ขอตอบว่าไม่ยาก หรืออย่างน้อยจะไม่ยากอย่างที่หลาย ๆ ท่านคิด ถ้าคุณรู้สึกคำตอบนี้ยังไม่ชัดเจนพอก็ขอบอกว่า สำหรับธรรมชาติของคนไทยแล้ว ภาษาจีนเรียนง่ายกว่าภาษาอังกฤษมาก ถ้าให้คนไทยคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ มาเริ่มเรียนสองภาษานี้พร้อม ๆ กัน โดยปัจจัยในด้านอื่น ๆ เหมือนกันหมดจะพบว่าเมื่อเรียนไปสักระยะหนึ่ง พูดภาษาอังกฤษยังได้ไม่เท่าไหร่แต่ภาษาจีนไปไกลโลดแล้ว มีนักเรียนจำนวนมากที่เรียนภาษาจีนต่างยอมรับว่า เรียนภาษาจีนแค่ร้อยกว่าชั่วโมงก็สามารถพูดได้มากกว่าภาษาอังกฤษที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก ถูกต้องแล้วค่ะ ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่าคนไทยเราได้เปรียบกว่าชาติอื่น ๆ ในการเรียนภาษาจีน กล่าวคือ ภาษาไทยกับภาษาจีนคล้ายคลึงกันมากโดยทั่วไปแล้ว คำว่า "ภาษา" ที่เราพูดถึงในภาษาไทยหมายถึงสองส่วนคือ
1。ภาษาที่พูดออกมาเป็นเสียง ประกอบด้วยระบบการออกเสียง ระบบคำศัพท์ ระบบไวยากรณ์
2。ระบบการเขียน (หรือระบบอักษร)
ที่คนไทยทั่ว ๆ ไปรู้สึกว่าภาษาจีนนั้นเรียนยาก เพราะไปเห็นระบบการเขียนที่สลับซับซ้อนของภาษาจีน ซิ่งเหมือนกับเป็นภาพลวงตาที่พลอยทำให้เข้าใจผิดว่าภาษาจีนเรียนยากกว่าภาษาอื่น ๆ ในส่วนนี้คงต้องยอมรับว่าระบบการเขียนของภาษาจีนเป็นระบบการเขียนที่สลับซับซ้อนมาก แต่ถ้าวิธีการเรียนการสอนถูกต้อง ก็ไม่ใช่ว่าจะยากเกินไป
แต่ในอีกด้านหนึ่ง อยากให้คนไทยที่เรียนภาษาจีนมีความมั่นใจว่าคนไทยเราได้เปรียบมากในการเรียนภาษาจีน เพราะนอกจากระบบการเขียนแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของภาษาจีนคล้ายคลึงกับภาษาไทยมาก กล่าวคือ นอกจากภาษาบางภาษาในตระกูล Tai (ไท) แล้ว ในโลกนี้คงไม่มีภาษาใดจะใกล้เคียงกับภาษาจีนมากกว่าภาษาไทยได้อีก ความคล้ายคลิงกันระหว่างภาษาจีนกับภาษไทย รวมทั้งความได้เปรียบของคนไทยในส่วนนีจะช่วยให้คนไทยเรียนรู้ภาษาจีนได้เร็วเรียนรู้ได้ง่าย จะไม่ฝืนความรู้สึกและความเคยชินในการใช้ภาษาจนมากเกินไปเหมือนเรียนภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ดังนั้นการที่จะทำให้คนเองสามารถพูดภาษาจีนในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันและการทำงานได้พอสมควร จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนไทย
ต่อไปเราจะมาดูความคล้ายคลึงระหว่างภาษาจีนกับภาษาไทย และคุณจะได้เข้าใจว่า ทำไมอยากให้คุณเปลี่ยนทัศนคติที่เกี่ยวกับการเรียนภาษาจีน
1。ด้านระบบการออกเสียง
ยอมรับว่าคนไทยเรามีพรสวรรค์สูงมากเกือบทุกคนในด้านนนี้ เนื่องจากระบบการออกเสียงของภาษาจีน(กลาง) ใช้เสียงค่อนข้างน้อย ขณะที่ระบบการออกเสียงของภาษาไทยใช้เสียงค่อนข้างเยอะดังนั้นในภาษาจีนจึงมีอยู่ไม่กี่เสียงที่หาเสียงเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันในภาษาไทยไม่ได้ นอกจากนั้นในภาษาไทยมีเกือบครบ (ตรงกันข้ามกับคนจีนทีเรียนภาษาไทย) การที่ระบบการออกเสียงของภาษาไทยใช้เสียงค่อยข้างเยอะนั้นทำให้คนไทยหูไว ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเลียนแบออกเสียง (เพราะถ้าฟังไม่แม่น ย่อมจะออกเสียงไม่ถูก) สังเกตได้จากนักเรียนที่เรียนภาษาจีนเกือบทุกคนสามารถออกเสียงชัดหรือชัดมาก มีหลายคนเคยมีโอกาสพูดคุยกับคนจีน และได้รับคำชมว่าพูดชัดกว่าคนจีนทั่วไปด้วยซ้ำส่วนเสียงที่คนไทยเราจะรู้สึกลำบากหน่อยมีดังนี้
สระ ü รวมทั้งสระผสมที่เริ่มต้นด้วย ü คือ üe üan ün
เคล็ดลับในการออกเสียงคือ ทำริมฝีปากให้เป็นรูปกลมเล็ก ๆ แล้วยื่นปากออกมากด้วย (อย่ากลัวว่าไม่สวยนะคะ) ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้ทำปากอยู่ในตำแหน่งผิวปาก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้เคียงมากกับการออกเสียงของสระ ü
พยัญชนะที่ห่อลิ้น 4 เสียง คือ zh ch sh r
ทั้งสี่เสียงมีลักษณะเดียวกัน คือตอนที่ออกเสียง ปลายลิ้นต้องห่อขึ้นไปแตะเพดานอ่อนจึกรู้สึกค่อนข้างเกร็งและเมื่อยลิ้น ส่วน zh ch sh เราสามารถนำไปเทียบกับ z c s ได้ กล่าวคือ
z - zh c - ch s - sh
ระหว่างแต่ละคู่จะออกเสียงใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ zh ch sh ห่อลิ้น ส่วน z c s ไม่ห่อลิ้น
ส่วนเสียงวรรยุกต์นั้นยิ่งไม่ค่อมีปัญหาสำหรับคนไทย เพราะภาษาจีนกลางมีเสียงวรรณยุกต์เพียงสี่เสียง ง่ายกว่าภาษาไทย และมีเพียงวรรณยุกต์ที่สามที่ไม่มีในภาษาไทย คงต้องระวังหน่อย เสียงนี้เริ่มค่อนข้างต่ำ ลงมาต่ำสุดก่อนที่จะขึ้นไปค่อนข้างสูง
2。ระบบคำศัพท์
ภาษาจีนกับภาษาไทยต่างก็เป็นภาษาคำโดด คือหนึ่งคำหนึ่งพยางค์(มีการเปลี่ยนในช่วงหลัง แต่จนทุกวันนี้รากศัพท์และศัพท์พื้นฐานในสองภาษานี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนึ่งพยางค์) จึงตรงกับความเคยชินของคนไทย และที่สำคัญคือ วิธีการสร้างคำก็ใกล้เคียงกันมาก คือนำเอารากศัพท์มาประกอบกันขึ้นมา (สิ่งที่ต้องระวังคือ ในภาษาจีนส่วนที่ขยายต้องอยู่ข้างหน้าของส่วนที่ถูกขยายอยู่เสมอ) อย่างเช่น 书 (shū หนังสือ) + 店 (diàn ร้าน) = ร้านหนังสือ 学 (xué เรียน) + 生 (shēng คน) = นักเรียน地 (dì แผ่นดิน) + 震 (zhēng สั่น) = แผ่นดินไหว
สิ่งที่หน้าที่อย่างหนึ่งก็คือ ดูเหมือนว่าแนวความคิดของคนจีนกับคนไทยในด้านการสร้างคำ การใช้คำ รวมทั้งการเล่นอุปมาอุปไมยนั้นสอดคล้อกันอย่างเหลือเชื่อ ในสองภาษานี้จึงมีคำศัพท์และคำพูดมากมากเหมือนถอดออกจากแบบอันเดียวกวัน เพราะต้องกันเกือบคำต่อคำเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น
脸色(สี่หน้า) 放心(วางใจ) 开心(เบิกบานใจ) 中心(ศูนย์กลาง) 手快(มือไว) 多嘴(ปากมาก) 嘴甜(ปากหวาน) 面子大(หน้าใหญ่) 有面子(มีหน้ามีตา) 找事(หาเรื่อง) 直来直去(ตรงไปตรงมา) 梦想成真(ฝันที่เป็นจริง) 从头到脚(จากหัวจดเท้า) 皮包骨(หนังหุ้มกระดูก) 或多或少(ไม่มากก็น้อย)
ซึ่งคำศัพท์ที่ตรงตัวจำนวนมากมายเหล่านี้จะช่วยให้โอกาสแปลตรง ๆ ระหว่างสองภาษานี้มีมากกว่าอีกหลายภาษาเป็นอย่างมากดังนั้นเวลาเรียนหรือใช้ภาษาจีน คนไทยจะรู้สึกค่อนข้างเคยชิน เพราะใกล้เคียงกับนิสัยในการใช้ภาษาของตนเอง
นอกจากนี้แล้ว เนื่องจากภาษาจีนกับภาษาไทยต่ากก็อาศัยการเรียงคำเป็นหลัก และมีความคล้ายคลึงกันในด้านไวยากรณ์เป็นอย่างมาก จึงทำให้ระบบคำศัพท์ของสองภาษานี้สอดคล้องกันมากถ้าเทียบกับภาษาอื่น โดยเฉพาะคำศัพท์ประเภทคำกริยาวิเศษณ์กับคำสันธาน ทั้งความหมายและวิธีการใช้ใกล้เคียงกันมาก ซึ่งความคล้ายคลึงกันขนาดนี้คงหาได้ยากในภาษาอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น
也(yě ก็...เหมือนกัน) 就(jiù ก็) 正在(zhèngzài กำลัง) 刚(gāng เพิ่ง) 才(cái จึง, ถึงจะ, แค่)
常常(chángcháng บ่อย ๆ ) 一。。。就。。。 (yī...jiù.... ...ปุ๊ป...ปั๊ป)
连。。。都。。(lián...dōu... แม้แต่...ก็...) 除了。。。以外(chúle...yǐwài นอกจาก....แล้ว...)
只是。。。罢了(zhǐshì...bàle เพียงแต่...เท่านั้น)
不仅。。。,而且。。。(bùjǐn...,érqǐe... ไม่เพียงแต่....และยัง...)
หรือแม้กระทั้งรูปวลีพิเศษบางรูปยังตรงกันหรือใกล้เคียงกันอย่างไม่น่าเชื่อเลย เช่น
รูป A A B B ของคำกริยา
来来往往(ไป ๆ มา ๆ ) 走走亭亭(เดิน ๆ หยุด ๆ) 躲躲藏藏(หลบ ๆ ซ่อน ๆ)
上上下下(ขึ้น ๆ ลง ๆ)
รูป A 来 A 去 (...ไป....มา) ของคำกริยา
想来想去(คิดไปคิดมา) 问来问去(ถามไปถามมา) 说来说去(พูดไปพูดมา)
拐来拐去(เลี้ยวไปเลี้ยวมา)
รูป 一边。。。一边。。。 (...พลาง....พลาง, ...ไป.....ไป) ของคำกริยา
一边说一边笑(พูดไปหัวเราะไป) 一边看一边问(ดูไปถามไป)
一边读书一边工作(เรียนหนังสือไปพลางทำงานไปพลาง)
รูป 越 A 越 B (ยิ่ง A ยิ่ง B) ของคำกริยาหรือคำคุณศัพท์
越跑越快 越多越好 越学越喜欢
รูป 又。。。又。。。 (ทั้ง...ทั้ง...) ของคำกริยาหรือคำคุณศัพท์
又恨又爱(ทั้งรักทั้งเกลียด) 又吃又喝(ทั้งดื่มทั้งกิน) 又快又好(ทั้งเร็วทั้งดี)
又冷又饿(ทั้งหนาวทั้งหิว) 又经济又美观(ทั้งประหยัดทั้งสวยงาม)
ฯลฯ ยังมีอีกเยอะมากค่ะ
ดังนั้นคนไทยจึงสามารถเข้าใจระบบคำศัพท์ของภาษาจีนได้ง่ายดาย และใช้งานสะดวกอีกด้วย เพราะตรงกับวิธีคิดของคนไทย
3。 ระบบไวยากรณ์
ภาษาจีนกับภาษาไทยมีความคล้ายคลึงกันในด้านไวยากรณ์เป็นอย่างมาก โดยต่างก็อาศัยการเรียงคำเป็นหลัก เวลาเรียนภาษาจีนถ้าทำความเข้าใจกับความแตกต่างระหว่างภาษาจีนกับภาษาไทยในด้านไวยากรณ์ รูปประโยคพิเศษ รวมทั้งวิธีการใช้พิเศษของคำบางคำก็จะเรียงคำด้วยตัวเองได้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโครงสร้างหลังของประโยคส่วนใหญ่จะเหมือนหรือใกล้เคียงกับภาษาไทยเป็นอย่างมาก มีหลายท่านบอกว่า นึกไม่ถึงว่าภาษาจีนกับภาษาไทยจะใกล้เคียงกันถึงขนาดนี้ จริง ๆ แล้วไม่แปลกเลย เพราะโครงสร้างทางความคิดของจีนกับไทยใกล้เคียงกันมาก อย่างเช่น
等 他 来 了 我 就 回 家。 รอ เขา มา แล้ว ฉัน ก็ กลับ บ้าน
请 你 出 去 叫 他 快 进 来 吃 饭。 เชิญ คุณ ออก ไป เรียก เขา รีบ เข้า มา กิน ข้าว
我们班 还 没 有 谁 有 泰文词典。 ชั้นเรียนเรา ยัง ไม่ มี ใคร มี พจนานุกรมภาษาไทย
你 说 我 学 中文 好 还是 学 日文 好? เธอ ว่า ฉัน เรียน ภาษาจีน ดี หรือ เรียน ภาษาญี่ปุ่น ดี
ปรากกว่าสี่ประโยคนี่สามารถแปลเป็นไทยคำต่อคำได้เกือบ 100% (มีแค่บางวลี ส่วนขยายในภาษาจีนอยู่ข้างหน้าส่วนที่ถูกขยาย) ไม่เกินไม่ขาดแม้แต่คำเดียว!
นี่คือความได้เปรียบในแต่ละด้านของคนไทย ซึ่งทำให้คนไทยเรียนภาษาจีนง่ายกว่าคนชาติอื่น ๆ สามารถเห็นผลได้เร็ว แต่เราต้องมีตำราเรียนที่ดีและครูที่สอนเก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นตำราเรียนกับครูที่รู้จักดึงเอาความได้เปรียบของคนไทยในส่วนที่ภาษาจีนกับภาษาไทยคล้ายคลึงกันเข้ามาช่วย และแน่นอนนักเรียนต้องมีความตั้งใจจริงด้วย หวังว่าคุณคงมีความมั่นใจในการเรียนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเรียนภาษาไหน การที่จะเรียนให้แตกฉานนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ภาษาจีนก็เหมือนกัน ถ้าจะเรียนให้ถึงระดับพอจะพูดได้ คงจะไม่ใช่เรื่องยากเลยแต่ถ้าให้ถึงขั้นที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ คงต้องใช้ความมานะอดทนและความขยันไม่แพ้การเรียนภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะกับระบบการเขียนของจีน ต้องหมั่นฝึกฝนถึงจะเกิดความชำนาญในที่สุดได้.