วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

โปรแกรมแปลภาษาอังกฤษ-ไทย

HighLight Dictionary (โปรแกรม ดิกชั่นนารี อังกฤษ ->ไทย และ ไทย-อังกฤษ ที่มีคำศัพท์ มากกว่า แสนคำ) :เป็น Dictionary [English-Thai , Thai - English] มีคลังข้อมูลบรรจุคำศัพท์จากพจนานุกรมอิเล็คทรอนิกส์ ถึง 3 เล่ม รวมกันกว่า 180,000 รายการ สมบูรณ์แบบด้วย ความหมาย , ประเภทของคำศัพท์ , คำย่อ , คำพ้องเสียง , คำเหมือน , คำไกล้เคียง , คำตรงข้าม, ตัวอย่างประโยค เป็นต้น สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมต่าง ๆ ได้ โดยจะแปลศัพท์ที่ คุณต้องการรู้ความหมายจริง ๆ โดยไม่ต้องพิมพ์คำศัพท์ใหม่ เพียงแค่คุณลาก Highlight คำศัพท์ที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Windows Key + X โปรแกรมก็จะทำการแปลและแสดงผล ... จุดเด่นหลักของโปรแกรมคือความสามารถในการรับคำศัพท์เพื่อมาแปล โดยจะใช้การลากไฮไลต์ (Drag Mouse) บนคำศัพท์ที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Windows Key + X หรือปุ่มอื่น ๆ ตามที่ตั้งค่าไว้ โปรแกรมจะแปลและแสดงผลโดยอัตโนมัติ ดังนั้นคุณไม่ต้องพิมพ์คำศัพท์ใหม่ หรือก๊อปปี้คำศัพท์แล้วมาวางในโปรแกรมแปลอีกครั้ง
โปรแกรมนี้สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมต่าง ๆ ได้ เช่น MS Internet Explorer , MS Office , Adobe Acrobat หรือโปรแกรมอื่นๆ โดยมีข้อแม้ว่าคำศัพท์ที่แปลต้องใช้เมาท์ลากไฮไลต์ (Drag Mouse) ได้เท่านั้น ...


ที่มา: http://www.thaiware.com/main/info.php?id=3342

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับ การ เรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง

เคล็ดลับ การ เรียนภาษาอังกฤษ ให้ เก่ง

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราจะต้องมี Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งนี้ หากคุณไม่ทราบว่าอะไรคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดี คืออะไร ลองย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่คุณเคยอยากได้ อยากมีสิ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากได้เสื้อผ้าดีๆ สวยๆ กระเป๋ายี่ห้อดังๆ หรือ แม้แต่ตอนที่คุณจีบแฟนคุณ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณมี Passion ซึ่งทำให้คุณทุ่มเทพละกำลัง ความตั้งใจ ความพยายามให้ได้มันมา เพราะรู้ว่า มันมีค่ากับคุณแน่นอนภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีต่อภาษาอังกฤษ ซึ่งเราต้องคิดต่อว่า แล้วเราจำเป็นต้องรู้ หรือ มีภาษาอังกฤษไว้ทำไม คำตอบคิอ ต้องมีครับ (Must have) เพราะในปัจจุบันนี้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเราคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการ ทำงาน อันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในทุกๆ ด้านในปัจจุบันนี้ การรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษแล้ว ลองจินตนาการการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานของบริษัท เมื่อคุณตอบคำถามว่า คุณทราบภาษาอังกฤษ ผู้ที่สัมภาษณ์คุณไม่ได้มองว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลย บางบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังบังคับให้คุณไปสอบภาษาอังกฤษกับการสอบที่มาตรฐาน เช่น TOEIC, TOELF, IELS ตลอดจน CU-TEP, TU-GET แล้วนำคะแนนสอบที่ผ่านตามเกณฑ์มาร่วมพิจารณากับคุณสมบัติอื่นๆ ส่วนการสอบเข้าเรียนในระดับต่างๆ แทบไม่ต้องกล่าวถึง ต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์ หรือ แทบจะเป็นตัววัดตัวสุดท้ายในการตัดสินในการเข้าศึกษายิ่งกล่าวไปทำให้เครียด จนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ เราลองย้อนกลับมาพิจารณา แล้วจะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคงไม่มีกฎเกณฑ์ใดตายตัว หากแต่จะเป็นเรื่องของการแนะนำส่วนตัว แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นกับผู้ที่ศึกษาเองว่ามี Passion แล้วทุ่มเทกับภาษาอังกฤษ แค่ไหน ดังนั้นผมขอแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำเอาไปใช้ นะครับหากแยกประเภทการเรียนภาษาอังกฤษ ผมขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ
1. ไวยากรณ์ (Grammar)
2. ศัพท์ (Vocabulary)
3. การอ่าน (Reading)
4. การเขียน (Writing)
5. การฟัง (Listening)
6. การพูด (Speaking)
ไวยากรณ์ (Grammar)ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้จริงแล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีกด้วย
ที่มา :http://blog.spu.ac.th/spufcontent5/2008/10/04/entry-16

เคล็ดลับการเรียนภาษาต่างประเทศให้ได้ผล


10 เคล็ดลับเรียนภาษาต่างประเทศให้ได้ผล
ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างทุกวันนี้ ภาษาที่สองและสาม สี่ (ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ) คือสิ่งจำเป็นที่จะทำให้คุณดูโดดเด่น และแตกต่างจากคนอื่น และนี่คือเคล็ดลับง่าย ๆ ในการเรียนภาษาต่างประเทศให้ได้ผล
1.ยอมรับความจริง ไม่มีใครพูดภาษาที่สองได้ตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องใช้เวลาในการเรียนรู้กันทั้งนั้น ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าจะต้องเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้น
2.เรียนรู้ทีละนิดจากการศึกษาพบว่า การทบทวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ อย่างเช่น ในระหว่างทานอาหารเช้า ในขณะอาบน้ำ หรือในขณะเดินทาง จะส่งผลให้คุณจดจำได้ดีกว่า
3.ท่องศัพท์ยิ่งคุณรู้ศัพท์มากเท่าไหร่ คุณก็สามารถพูดและเข้าใจได้มากขึ้นเท่านั้น เทคนิคในการจดจำคำศัพท์ คือ พกการ์ดใบเล็กๆที่เขียนคำศัพท์ (ที่มีคำแปลอยู่ด้านหลัง) ไปกับคุณทุกที่
4.ฝึกหัดอย่างจริงจัง อย่าแค่ทำปากขมุบขมิบหรือท่องเอาไว้ใสใจ พูดหรืออ่านออกมาดังๆ ในทุกครั้งที่มีโอกาส เพื่อจะได้ฝึกปากของคุณให้เคยชินกับการออกเสียง
5.ทำการบ้านการทำการบ้านคือการฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาให้เป็นไปอย่างแม่นยำ จนกลายเป็ความชำนาญ และสามารถทำออกมาได้อย่างอัตโนมัติในที่สุด
6. จับกลุ่มเรียน หาเวลาทบทวน ทำการบ้าน หรือแค่ฝึกพูดภาษานั้นๆ กับเพื่อนๆ เป็นประจำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องให้กันและกันได้ แถมยังทำคุณจดจำได้แม่นยำยิ่งขึ้นด้วย
7.หาจุดอ่อนคุณควรหาจุดอ่อนในการเรียนของตัวเองให้เจอ เพื่อที่จะได้เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนเงียบๆ และไม่ค่อยมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ก็บังคับตัวเองให้เลือกที่นั่งแถวหน้าในห้องเรียนซะ
8. หาโอกาสในการใช้ภาษาเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับภาษานั้นๆ ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเจ้าของภาษาเช่าหนังที่พูดภาษานั้นๆ มาดูหรือแม้กระทั่วหาแฟนที่เป็นเจ้าของภาษานั้นซะเลย
9. ทุ่มความสนใจพูดง่ายๆ ก็คือ หายใจเข้าออกก็ให้เป็นภาษานั้น เรียนรู้ภาษานั้นๆ ทั้งในและนอกห้องเรียนอย่างจริงจังและเต็มที่ถึงขนาดถึงขนาดถ้าฝันได้ก็อาจฝันเป็นภาษานั้นๆ ด้วย
10. ปรึกษาผู้รู้ถ้ามีปัญหาหรือติดขัดอะไร ก็ต้องสอบถามครูผู้สอนหรือเจ้าของภาษานั้นทันที เพื่อทำลายกำแพงที่เป็นอุปสรรคในการเรียนออกไปให้เร็วที่สุด คุณจะได้ไม่ต้องสะดุดอยู่นานเกินไปซึ่งนั้นอาจทำให้คุณเกิดความเบื่อหน่ายได้

โปรแกรมฝึกทักษะภาษาอังกฤษ

โปรแกรมสอนภาษาอังกฤษTeachMaster 4.2
Teachmaster is a very versatile program for vocabulary learning which will certainly meet all your requirements.
โปรแกรมสอนภาษาอังกฤษ ช่วยเพิ่มความรู้ทางด้าน vocabulary
ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเป็นมากในกาาร เรียนภาษาอังกฤษ โดยตัวโปรแกรม Teachmaster สามารถใช้งานได้ง่ายดาย คล้ายกับเกมส์ เหมาะสำหรับเรียน รู้ภาษาอังกฤษ ในเบื้องต้นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้น ยังสามารถ สั่งพิมพ์ บทเรียน ได้อีกด้วย



วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

โปรแกรมฝึกทักษะภาษา










โปรแกรมเกมฝึกทักษะภาษาอังกฤษ (Speak Out )

โปรแกรมเกมฝึกทักษะภาษาอังกฤษ หรือ Speak Out นี้ ก็เป็นโปรแกรมฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษที่สนุกสนาน และน่าสนใจไม่แพ้โปรแกรมอื่น ๆ เลยนะคะ ที่สำคัญ โปรแกรมนี้ เป็นฝีมือคนไทยอีกแล้วล่ะจ้า โดยผู้พัฒนาก็คือ คุณรัฐการ อภิวัฒน์วาจา ค่ะ


โปรแกรมเกมฝึกทักษะภาษาอังกฤษ หรือ Speak Out เป็นโปรแกรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกฝนทักษะในการผูกประโยคสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ วิธีการเล่นก็คล้าย ๆ กับเกมปริศนาคำใบ้นั่นเอง โดยในแต่ละระดับ จะมี 30 คำถามที่เป็นประโยคภาษาไทย คุณก็จะต้องหาประโยคภาษาอังกฤษที่ได้ใจความเดียวกันกับประโยคภาษาไทยนั้น โดย Program จะมีตัวอย่างประโยคให้ แต่จะเว้นที่ว่างไว้หนึ่งคำ คุณก็เพียงแค่หาว่า คำที่หายไปนั้นคืออะไร โดยพยายามเดาให้น้อยครั้งที่สุด และเร็วที่สุด เพราะโปรแกรมจะจำกัดเวลาในแต่ละข้อ ตามความเหมาะสม และให้ทดลองได้ 2 เท่าของจำนวนตัวอักษรของคำนั้นๆ น่าสนุกจริง ๆ นะคะ :) อย่างนี้ต้องหามาลองเล่นกันดู
ที่มา:

โปรแกรมฝึกทักษะทางภาษา

MindGame โปรแกรมการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ ผ่านเกมบนกระดานหมากรุก ที่ต้องใช้ทั้งความรู้ และกลยุทธ์ ในการเล่น ผู้เล่นสามารถ เล่นโดยแข่งกับผู้อื่น หรือแข่งกับคอมพิวเตอร์เองได้ โดยผู้เล่นต้องพยายาม ตอบคำถาม ให้ถูกต้อง เพื่อนำตัวของผู้เล่นอีกฝ่ายหนึ่งมาเป็นของตนเองให้ได้
คำถามในแต่ละบทเรียน มีเนื้อหาและโครงเรื่อง หลากหลายต่างๆ กันไป เริ่มจากเนื้อเรื่อง ที่มีคำศัพท์ไม่ยาก บทไวยากรณ์โครงสร้างพื้นฐาน เช่น กริยาช่องสองที่มีรูปพิเศษ (Irregular Forms) ไปจนถึงคำศัพท์ ที่ออกเสียง เหมือนหรือคล้ายกัน (Homophones) การหาคำศัพท์ จากตัวอักษรสลับ ตำแหน่งกัน และ แสลงต่างๆ ที่ใช้ห้องสนทนา (Chatroom) ในการเล่นนั้น ผู้เล่นอาจจะได้คะแนน หรือ เสียคะแนน หรือ เรียกคะแนนกลับมาได้ คำถามจะถูกนำกลับ มาถามใหม่อีก และด้วยการนำเสนอ การเรียนการสอน เช่นนี้ทำให้ผู้เรียนสนใจ และตั้งใจ เรียน อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยให้ผู้เรียน สามารถเลือกเรียนรู้ได้ตามความพอใจ และสร้างความมั่นใจ ให้กับผู้เรียนได้มากขึ้นอีกด้วย
ผู้เล่นสามารถเลือกเล่น MindGame ได้อย่างสนุกสนาน และเหมาะสมกับ ทักษะความสามารถ ทางคอมพิวเตอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เริ่มใช้คอมพิวเตอร์ใหม่ๆ หรือ ผู้ที่มีความชำนาญแล้ว รวมทั้งสามารถ เปลี่ยนรูปแบบการเรียน จากเกมไปเป็นการทดสอบ และสามารถ เรียกดูรายงาน เพื่อตรวจสอบข้อที่ทำถูก และผิดได้เอง
ที่มา: http://www.source.co.th/english/thai/m_g_mindgame.php

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

โปรแกรมฝึกทักษะภาษา

โปรแกรม คำศัพท์แสนกล (HANGMAN)
การฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษเนี่ย นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนะคะ เพราะไม่เพียงแต่เรื่องความบันเทิงเท่านั้น ที่ภาษาอังกฤษมีบทบาท ในด้านวิชาการ หรือความรู้แขนงต่าง ๆ หนังสือตำรับตำรามากมายก็ถูกเขียนขึ้น โดยใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าเราสามารถอ่านได้เอง ก็จะเป็นการดี เพราะจะช่วยให้เราทันโลก ทันสมัย ได้ความรู้ใหม่ ๆ ในแขนงที่เราสนใจ โดยไม่ต้องง้อ รอตำราแปลไงล่ะจ๊ะ แต่จะว่าไป ภาษาอังกฤษ ก็เป็นยาขมสำหรับหลายคนนะคะ หยิบจับขึ้นมาทีไร ก็พาลจะง่วงนอนทุกที เดี๋ยวนี้การฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษ ก็มีการพัฒนารูปแบบออกมามากมายล่ะค่ะ ไม่ต้องมานั่งอ่าน นั่งท่องกันเฉย ๆ วันนี้มีอีกวิธีมาแนะนำค่ะ ลองมาฝึกทักษะทางภาษาผ่านทางเกมกันบ้างดีกว่านะคะ เผื่อว่าจะช่วยให้หลายคนหายเบื่อกันไปได้บ้าง
โปรแกรมที่อยากจะแนะนำนี้มีชื่อว่า โปรแกรม คำศัพท์แสนกล หรือ HANGMAN ค่ะ โปรแกรมนี้ดีมาก ๆ เลยนะคะ และที่สำคัญ เป็นโปรแกรมที่พัฒนาโดยคนไทยค่ะ ผู้พัฒนาก็คือ อ. ทองจุล ขันขาว
หากว่าใครเคยเล่นเกม HANG MAN มาบ้าง ก็คงจะพอนึกออกล่ะค่ะ โปรแกรมนี้ก็ประยุกต์มาจากเกมที่เราเคยเห็นนั่นล่ะค่ะ จุดมุ่งหมายก็คือ จะช่วยในเรื่องการสะกดคำนะคะ โดยจะมีช่องว่างมาให้ตามความยาวของตัวอักษรทั้งหมดของคำนั้น ๆ โดยเราจะต้องเติมทีละตัวจนครบ เพื่อให้ได้คำศัพท์ที่สมบูรณ์ ซึ่งในแต่ละครั้งของการเติมนั้น ถ้าเราเติมได้ถูก อักษรนั้นก็จะไปปรากฎในตำแหน่งของมัน แต่ถ้าเราเติมผิด เราก็จะต้องถูกคาดโทษด้วยการค่อย ๆ กลายเป็นมนุษย์ HANG MAN! .. น่าสนุกไม๊ล่ะคะ ที่เล่า ๆ มาเนี่ย อาจจะไม่เห็นภาพซักเท่าไหร่ สงกะสัยว่าคุณ ๆ จะต้องลองหาดาวน์โหลดมาเล่นเองแล้วล่ะค่ะ โปรแกรมนี้ นับว่า เล่นสนุก แล้วก็ได้ความรู้ด้วยนะคะ เหมาะสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หรือจะเล่นเป็นหมู่คณะก็ยังไหว ลองเข้าไปที่ http://www.thaijobmarket.com/cgi-bin /free_download/download.pl?program_name=hangman&file=hangman.zip เพื่อดาวน์โหลดมาเล่นกันดูนะคะ แล้วจะติดใจ! ระบบปฏิบัติการที่เหมาะสม คือ Windows 95/98/ME ขนาดไฟล์ดาวน์โหลด ประมาณ 0.502 เมกะไบต์ เท่านั้นเองล่ะค่ะ
ที่มา: http://www.arip.co.th/2006/mag_list.php?g3=3&g3s=3&ofsy=2002&ofsm=8&id=CM&halfmonth=0&mag_no=115&element_id=405406&mag_g=&g3as=&g3ass=&g3tmp=&g3col=&mypage=&page=2

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เริ่มต้นใช้บล็อก


1.บล๊อกคืออะไร

บล็อก (blog) เป็นคำรวมมาจากคำว่า เว็บล็อก (weblog) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์" บล็อกเป็นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลากหลายขึ้นอยู่กับเจ้าของบล็อก โดยสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้านไม่ว่า อาหาร การเมือง เทคโนโลยี หรือข่าวปัจจุบัน นอกจากนี้บล็อกที่ถูกเขียนเฉพาะเรื่องส่วนตัวหรือจะเรียกว่าไดอารีออนไลน์ ซึ่งไดอารีออนไลน์นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้บล็อกในปัจจุบัน นอกจากนี้ตามบริษัทเอกชนหลายแห่งได้มีการจัดทำบล็อกของทางบริษัทขึ้น เพื่อเสนอแนวความเห็นใหม่ใหักับลูกค้า โดยมีการเขียนบล็อกออกมาในลักษณะเดียวกับข่าวสั้น และได้รับการตอบรับจากทางลูกค้าที่แสดงความเห็นตอบกลับเข้าไป เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์

2.ประโยชน์ของบล๊อค
1.ส่งงานได้รวดเร็ว
2.เก็บข้อมูลไว้ศึกษาทีหลังได้
3.ให้ผู้อื่นศึกษาต่อได้
4.สามารถมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นความรู้ใหม่ๆได้ด้วย


3.ตัวอย่างของบล๊อค(รูปภาพ)

4.จงเขียนชื่อผู้ให้บริการ Blog ในประเทศไทย
โกทูโน :: http://gotoknow.org/ เลิร์นเน่อ :: http://learners.in.th/ exteen :: http://www.exteen.com/

5.จงเขียนชื่อผู้ให้บริการBlog ต่างประเทศ
วินโดว์ไลฟ์ สเปซเซส (ไมโครซอฟต์) :: http://spaces.live.com/
บล็อกเกอร์ (กูเกิล) :: http://www.blogger.com/
มัลติไพล :: http://multiply.com/

6.บล็อคมีส่วนประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง
1. ชื่อบล็อก (ฺBlog Title) ส่วนของ Blog Title นี้ก็จะเป็นชื่อบล็อกนั้น
2. แท็กไลน์ (Subtitle หรือ Tag line)
3. วันที่และเวลา (Date & Time Stamp)เป็นวันที่ และบางทีอาจมีเวลากำกับอยู่ด้วย
4. ชื่อบทความ (Entry Title)ชื่อเรื่องของบทความที่เขียนในบล็อก
5. ตัวเนื้อหาบทความ (Entry’s Main Body)อาจเป็นตัวหนังสือ หรืออาจเป็นรูปภาพ วีดีโอ หรือแอนิเมชั่น เป็นต้น
6. ชื่อผู้เขียน (Blog Author)บางบล็อก
7. คอมเม้นต์ (Comment tag)เป็นลิงค์ที่ให้ผู้อ่านคลิกไปเพื่อกรอกคอมเม้นต์ให้กับบล็อก
8. ลิงค์ถาวร (Permalink) เราสามารถเรียกทับศัพท์ได้ว่า เพอร์มาลิ้งค์ เจ้าลิงค์ตัวนี้คือลิงค์ที่ไปหา url ของบทความนั้น ๆ โดยตรง
9. ปฎิทิน (Calendar)บล็อกบางแห่งอาจมีปฎิทินอยู่ด้วย
10. บทความย้อนหลัง (Archives)บทความเก่า หรือบทความย้อนหลัง อาจมีการจัดเตรียมไว้โดยเจ้าของบล็อก
11. ลิงค์ไปยังเว็บอื่น (Links)เป็นจุดเด่นและความสนุกของบล็อกอีกอย่างหนึ่ง
12. RSS หรือ XMLตัว RSS นี้อาจมีเตรียมไว้ให้เราโดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับ Blogware


7. จากการเรียนการสอนในวันนี้สิ่งที่นักศึกษาได้คือ วิธีการสร้างเว็บบล็อคผ่าน google
7.1E-Mail Address ของนักศึกษาคือ
Deejung_Y@hotmail.com Deejung1989@gmail.com
7.2 Web Blog ของนักศึกษาคือ http://www.Deejungna.blogspot.com

8.ให้นักศึกษาอธิบายวิธีการสร้าง Blogมาอย่างละเอียด
1.เข้า web site
http://www.blogger.com/
2.สร้างบล็อค
3.พิมพ์ชื่อ gmail 2 ครั้ง
4.ใส่ password 2 คร้ง
5.ทำการยอมรับข้อตกลง
6. คลิกดำเนินการต่อด้านขวามือ
7.ตั้งชื่อ web blog
8.ใส่ชื่อตามต้องการ
9.ใส่ที่อยุ่บล็อค
10.ดำเนินการต่อ
11.ทำการเลือกแม่แบบ
12.คลิกดำเนินการต่อ
13.บล็อคของคุณถูกสร้างขึ้นแล้ว

14.ทำการบันทึกบล็อค
15. คลิกเผยแพร่บทความ